เมืองคิซึกิในจังหวัดโออิตะเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่มีสิ่งก่อสร้างตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ (ประมาณ 200 ปีก่อน) ที่หลงเหลืออยู่มาถึงทุกวันนี้ ในฐานะเมืองที่ควบคู่กับชุดกิโมโนเมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่นิยมในหมู่คนญี่ปุ่นและคนต่างชาติ คราวนี้คนที่จะมานำเสนอสเน่ห์ของเมืองคือคุณแซมและคุณนิต้าครับ!

พอไปถึงแล้วคุณสามารถไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่ในสถานนีรถไฟคิซึกิ คุณสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้า ทางไปและอื่นๆได้แถมพนักงานของศูนย์ท่องเที่ยวนี้ก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย

มาใส่ชุดกิโมโนแล้วมาเดินเล่นในเมืองประสาทนี้กันเถอะ!

ก่อนอื่นทั้ง 2 คนก็รีบไปที่ร้านเช่าชุดกิโมโนชื่อ “เรนทัลกิโมโนโนะวาราคุอัน” ที่มีชุดกิโมโนให้เช้ามากกว่า 250 ชุดด้วยกัน ราคาเช่าหนึ่งชุดต่อวันเท่ากับ 2400 เยน นอกจากนี้ก็มีเครื่องประดับผม กระเป๋าชุดกิโมโน เกี๊ยะ ร่มญี่ปุ่นให้เช่าเช่นกัน (ร้านนี้ก็มีถุงเท้าให้ซื้อด้วนราคา 100 เยนต่อหนึ่งข้าง) แถมร้านนี้ก็มีส่วนลดสำหรับคนที่มาเป็นคู่ด้วย

ชุดกิโมโนสำหรับผู้ชายนั้นจะมีขนาดที่ใหญ่และลวดลายที่ให้ความรู้สึกสงบเสงี่ยม ส่วนชุดกิโมโนผู้หญิงนั้นมีหลากหลายประเพศยิ่งกว่ชุดกิโมโนชายอีก! ฉะนั้นการได้เลือกชุดกิโมโน ลายโอบิ ก็เป็นหนึ่งในความสนุกก็การเช่ายืมชุดกิโมโนเช่นกัน นอกจากนี้ก็มีผัด ผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าและฯลฯให้ลูกค้าได้ซื้อกลับไปเป็นของฝากด้วย

ชุดกิโมโนพวกนี้สามารถเช่าได้ในวันที่ไปถึงร้านได้เลยแต่ลูกค้าที่โทรมาจองก่อนจะมีสิทธ์ได้เช่าก่อนฉะนั้น ฉะนั้นทางเราแนะนำให้โทรจอง ที่ร้านล่วงหน้า

พอใส่ชุดกิโมโนแล้วสามารถเดินเข้าชมสิ่งก่อสร้างทางวัฒธรรมต่างๆนาๆได้โดยไม่ต่องจ่ายเงิน แล้วก็จะได้สิทธิพิเศษรับส่วนลดจากร้านอาหารอีกด้วย

เมืองคิซึกินี้ก็มีชุดทัวร์ไกด์ระบบเสียงอัสแสนสะดวกในหลายภาษา (อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น) และทั่วเมือง Wi-Fi ฮอตสปอตอยู่ทั่วเมืองให้นักท่องเที่ยวได้เดินไปแล้วฟังข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ๆสนใจ

จุดท่องเที่ยวหมายเลข ① “ซุยาโนะซากะ”

พอเดินลงจากเนินถนนใหญ่มาก็จะพบกับเนินเขา “ซุยาโนะซากะ” ที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม พอลงเนินเขาไปอีกก็จะเห็นเนินเขาที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ ในสมัยเอโดะเหล่าซามูไรจะพักอาศัยอยู่บนเนินสูงๆ 2 เนินระหว่างที่เหล่าพ่อค้าอาศัยอยู่บนเตี้ยๆทำให้เมืองนี้เป็นเมืองเดียวที่เคยมีระบบการอยู่อาศัยเช่นนี้ ถึงแม้ว่ายุคสมัยเอโดะจะผ่านมานานแล้ว (ราวๆ 200 ปี) แต่สายลมที่พัดผ่านเนินนี้ก็ยังอยู่ให้พวกเราในยุคปัจจุบันในความรู้เดียวกับเหล่าผู้อยู่อาศัยในยุคนั้นตอนยืนชมทิวทัศน์บนเนินเขานี้

จุดท่องเที่ยวหมายเลข② ”โรงน้าชา โนมิเทย์”

สำหรับคนที่อยากทานอาหารกลางวันก็สามารถไปโรงน้าชาเพื่อทานอาหารญี่ปุ่นได้ สมัยก่อนโรงน้าชานี้เป็นคฤหาสน์ซามูไร แต่ปัจจุบันคฤหาสน์นี้ถูกเปิดเป็นโรงน้าชา ให้เหล่าลูกค้าไปมาทานอาหารกลางวันระหว่างนั่งชมสวนญี่ปุ่น สิ่งที่คุณแซมและคุณนิต้ากำลังทานอยู่นี้คือขข้างกล่อง โชคะโดว์ (ราคา 1200 เยน) ผัก ปลาย่าง และเนื้อที่ถูกปรุงอย่างเอาใจใส่นั้นอร่อยถูกปากพวกเขามากๆ

พอทานอาหารเสร็จ ก็ต่อด้วยเค้กและขนมญี่ปุ่น!! (550 เยนต่อหัว)

จุดท่องเที่ยวหมายเลข③”คิซึกิชูราคุอัน”

ต่อไปก็คือโรงละครสาธารณะที่มีธีมหลักคือการใช้ชีวิตในยุคเอโดะ “คิซึกิชูราคุอัน” บางครั้งก็เรียกเสียงหัวเราะ บางครั้งก็เรียกน้าตา บางครั้งก็มีการต้นรำให้ทุกคนได้ทึ่งไปกับการแสดงย้อยยุคญี่ปุ่น พอการแสดงจบลงเหล่าสมาชิกคณะแสดงก็จะออกมาข้างนอกเพื่อบอกลาเหล่าลูกค้าและลูกค้าก็สามารถถ่ายรูปกับเหล่านักแสดงได้ด้วย โรงละครนี้จะเปลื่ยนคณะแสดงทุกๆเดือนฉะนั้นเนื้อหาการแสดงก็จะเปลื่ยนไปทุกๆวันให้ลูกค้าได้มีอะไรใหม่ๆได้ชมทุกวัน

จุดท่องเที่ยวหมายเลข④ “โชซันโดว์”

นี่คือร้านขนมญี่ปุ่นที่เอาใจใส่ในรสชาติขนมและลูกค้าที่มาทานขนมร้าน “โชซันโดว์” ขนมที่คุณแซมและคุณนิต้ากำลังทานอยู่ตอนนี้คืมิโซะมันจู มิโซะมัจูของที่ร้านนี้ใช้มิโซะอายาเบะเป็นไส้ซึ่งหาที่ใหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากร้านนี้ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังลิ้มลองมันจู ก็มีลูกค้าเก่าแก่หลายๆคนมาเยี่ยมคุณป้าใจดีของร้านนี้เช่นกัน

จุดท่องเที่ยวหมายเลข⑤ ”โคโนะดะฮามาโนะ”

ตั้งแต่มีดยันเครื่องมือทางเกษตร ร้าน “โคโนดะฮามาโนะ” เป็นร้านที่เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงทางด้านการผลิตของมีคม เจ้าของร้านเองก็มีใบอนุญาตในการตีดาบญี่ปุ่นเช่นกัน นอกจากนี้ร้านนี้ก็รับซ่อมแซมอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆนาๆและได้รับการไว้วางใจจากประชาชนของเมืองคิซึกิอีกด้วย อุปกรณ์ทุกอันที่ตีมานั้นได้รับความเอาใจใส่ให้ผู้ใช้ทุกคนได้ใช้อย่างมีความสุข

จุดท่องเที่ยวหมายเลข⑥ ”โอชาโนะโทมิยะ”

“โอชาโนะโทมิยะ” นั้นเป็นร้านน้าชาที่เปิดมาตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ (ราวๆ 200 ปีก่อน) จนถึงทุกวันนี้ ให้นักท่องเที่ยวมาลิ้มลองชาญี่ปุ่นสูตรต้นตำรับด้วยราคาเพียงแค่ 500 เยน (ยังไม่รวมภาษี) สมัยก่อน น้าชานั้นถูกขนานว่าเป็นยาอันแสนมีค่าในกลุ่มคนชนชั้นสูง พอได้ดื่มชาญี่ปุ่นนี้แล้วก็อาจจะได้เห็นทัศนะของเซนที่เรียกว่า “วาบิ-ซาบิ” ในภาษาญี่ปุ่นก็เป็นได้

จุดท่องเที่ยวหมายเลข⑦ “นาคาโนะชูโซ”

หมายเลข 7 ของเราคือโรงเหล้าที่มีประวัตยาวนานตั้งแต่ยุคเมจิ (ประมาณ 130 ปี) “นากาโนะชูโซ” เหล้า “ซาเกกินโจไร้แอลกอฮอล์” ที่ถูกต้มอย่างระมัดระวังโดยโรงเหล้านี้ก็เคยได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขัน “The Fine Sake Award Japan” อีกด้วย น้าที่ใช้ในการต้มเหล้าญี่ปุ่นของโรงเหล้านาคาโนะชูโซนั้นเป็นน้าที่ถูกต้มอยู่ใต้โรงเหล่าถึง 200 เมตรแถมได้รับรางวัล “วัตถุดิบคุณภาพดีที่สุด” และข้าวที่ใช้เป็นส่วนผสมของเหล้านั้นก็เป็นข้าวที่เก็บเกี่ยวมาในเมืองคิซึกิซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น “หมู่บ้านมรดกโลกทางเกษตร” โรงเหล้านี้ลูมีกค้าที่เดินทางมาจากสถานที่ไกลๆเพื่อมาซื้อเหล้าอย่างไม่มีสิ้นสุด ต่างๆคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าคุ้มค่ากับการเดินทาง

จุดท่องเที่ยวหมายเลข⑧ “โอฮาระเทย์”

นี่คือคฤหาสน์สำหรับซามูไรที่มียศสูงๆในยุคเอโดะ “โอฮาระเทย์” พอเดินผ่านประตูหลักเข้าไปก็จะเห็นหลังคาฟางหญ้าดูสวยงาม คฤหาสน์หลังนี้มีห้องรับแขกไว้สำหรับต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือนและสวนญี่ปุ่นที่งดงามไม่มีที่ติ นอกจากนี้ก็มีห้องฝึกยิงธนูให้เหล่าซามูไรได้ฝึกฝนจิตใจและร่างกายก่อนออกไปสู้รบกับเหล่าศูตร การอยู่อาศัยของเหล่าซามูไรยศสูงๆนั้นไร้ความหรูหราแต่อยู่อาศัยแบบเรียบง่าย ทุกวันนี้คฤหาสน์โอฮาระเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของเหล่าซามูไรในยุคเอโดะ

จุดท่องเที่ยวหมายเลข⑨ “ประสาทคิซึกิ”

ประสาทที่หันหน้าออกทะเลและเป็นประสาทที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น นั่นคือ “ประสาทคิซึกิ” ในตัวประสาทก็มีทรัพย์สินทางวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่มากมาย และก็สามารถเห็นชุดเกราะที่เหล่าซามูไรใช้ในสงครามอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นประสาทที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่นก็ตามแต่พอได้ขึ้นไปถึงยอดประสาทแล้วก็จะได้เห็นภูมิทัศน์ของเมืองคิซึกิที่จะทำให้คุณจดจำเมืองนี้ตลอดไป

เมืองคิซึกินั้นนอกจากจะเป็น “เมืองที่ควบคู่กับชุดกิโมโนแล้ว” ก็ยังเป็นเมืองที่ปกป้องจิตวิญญาณของซามูไรจากยุคเอโดะมาถึงยุคปัจจุบันและมีผู้คนที่ยังรักษาวัฒธรรมและประวัติศาสตร์ของเมืองนี้มาจนถึงทุกวันนี้ นี่แหละคือเสน่ห์ที่แท้จริงของเมืองคิซึกิ

※ข้อมูลทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมมาตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559